วันพฤหัสบดีที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2560

ข้อสอบปลายภาค วิชากฏหมายและการประกันคุณภาพการศึกษา


                           ข้อสอบปลายภาควิชากฎหมายการศึกษา

1. ให้นักศึกษาอธิบาย คำว่า ศีลธรรม จารีตประเพณี และกฎหมาย เหมือนหรือต่างกันอย่างไร
ตอบ    กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์อย่างหนึ่งของสังคม กล่าวคือสังคมซึ่งเป็นที่รวมของคนหมู่มากอาจมีทั้งคนดีและคนไม่ดีปะปนกันอยู่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการวางระเบียบหรือกฎเกณฑ์แห่งความประพฤติของมนุษย์ในสังคมเพื่อให้มนุษย์สามารถใช้ชีวิตร่วมกันอย่างสงบสุข ระเบียบหรือกฎเกณฑ์เหล่านี้มีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เรียกรวมๆ กันว่าระเบียบของสังคม ซึ่งได้แก่ ศีลธรรม จารีตประเพณีและกฎหมาย
ศีลธรรม คือ ความรู้สึกนึกคิด ผิดชอบชั่วดีภายในจิตใจของมนุษย์จะมีความรู้สึกผิดชอบ มีสติปัญญาที่สามารถพิจารณาได้ว่าเมื่อได้ทำอะไรไปบุคคลอื่นอาจจะไม่ยินดีไม่ยินยอมอาจจะต่อสู้ ขัดขวางหรือมีการแก้แค้นได้ มนุษย์เราก็จะต้องระมัดระวังไม่กระทำในสิ่งที่อาจถูกคนอื่นตอบโต้หรืออาจจะถูกตำหนิ ติเตียนได้ ความรู้สึกระมัดระวังเหล่านี้จะเกิดขึ้นในจิตใจของมนุษย์เองว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรกระทำหรือไม่ควรกระทำที่เราเรียกว่า ศีลธรรม
จารีตประเพณี คือ ระเบียบแบบแผนความประพฤติของมนุษย์ที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานาน โดยปกติแล้วประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา สำหรับจารีตประเพณีนั้นอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่น การที่พบบุคคลอื่น อาจจะมีการทักทายกัน หรือการที่เข้าไปในวัด ในโบสถ์ จะต้องถอดรองเท้า หรือจารีตประเพณีในเรื่องของการแต่งงาน ในเรื่องของการหมั้น อย่างของไทยมีการที่จะต้องไป สู่ขอจากฝ่ายหญิง มีขันหมาก มีสินสอด มีของหมั้นไปให้ฝ่ายหญิงก็ถือว่าเป็นจารีตประเพณีอย่างหนึ่ง

กฎหมาย  คือ กฎเกณฑ์ที่กำหนดความประพฤติของบุคคลในสังคมซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามหรือควรจะปฏิบัติตาม มิฉะนั้นจะได้รับผลร้ายหรือไม่ได้รับผลดีที่เป็นสภาพบังคับโดยเจ้าหน้าที่ในระบบกฎหมาย ลักษณะของกฎหมายในปัจจุบัน สามารถจำแนกลักษณะของกฎหมายได้  4 ประการ คือ
- กฎหมายต้องมีลักษณะเป็นกฎเกณฑ์  กฎเกณฑ์” (Norm) หมายความว่ากฎหมายต้องเป็นข้อบังคับที่เป็นมาตรฐาน (Standard) ที่ใช้วัดและใช้กำหนดความประพฤติของสมาชิกของสังคมได้ว่าถูกหรือผิด ทำได้หรือทำไม่ได้ ตัวอย่างกฎเกณฑ์ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 บัญญัติว่า ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตผู้นั้น กระทำความผิดฐาน ลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพักบาทบทบัญญัตินี้เป็นข้อกำหนดความประพฤติของมนุษย์ว่า การลักทรัพย์ของผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ผิดไม่สมควรกระทำ เป็นต้น
- กฎหมายต้องกำหนดความประพฤติของบุคคล ความประพฤติ (Behavior) ได้แก่ การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายภายใต้การควบคุมของจิตใจ ความประพฤติของมนุษย์ที่จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายนั้นต้องประกอบไปด้วยเงื่อนไข 2 ประการคือ
      ต้องมีการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย
      การเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหวนั้น กระทำภายใต้การควบคุมของจิตใจ
หากแม้มีการเคลื่อนไหวร่างกายแต่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ ตามกฎหมายก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย เช่น การกระทำโดยละเมอ การกระทำโดยตื่นเต้นตกใจ เป็นต้น ส่วนการไม่เคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เช่น การที่แม่นิ่งเฉยเสียไม่ยอมให้นมหรืออาหารให้แก่ลูกทารก ทำให้ลูกเสียชีวิต เป็นต้น
- กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ สภาพบังคับ (Sanction) ของกฎหมาย คือมาตรการกำหนดผลของการกระทำตามกฎหมายหรือฝ่าฝืนไม่ยอมกระทำตามกฎหมาย ซึ่งมีทั้งสภาพบังคับที่เป็นผลร้าย เช่น การลงโทษทางอาญา ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามี 5 สถาน คือ
1.ประหารชีวิต 
2.จำคุก        
3.กักขัง 
4.ปรับ 
5.ริบทรัพย์สิน
หรือการลงโทษทางแพ่ง เช่น การให้ส่งมอบทรัพย์สิน หรือการยึดทรัพย์สินของจำเลยนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ เป็นต้น หรือสภาพบังคับที่เป็นผลดีหากทำตามที่กฎหมายกำหนด เช่น รัฐลดภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลที่ทำธุรกิจตามที่รัฐกำหนด เป็นต้น  โดยส่วนใหญ่แล้วคนมักเข้าใจว่ากฎหมายมีสภาพบังคับที่เป็นผลร้ายเท่านั้น
- กฎหมายต้องมีกระบวนการที่แน่นอน จากการที่กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับของกฎหมายนั้นจะต้องมีกระบวนการที่แน่นอนโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ การบังคับใช้กฎหมายก็ต้องกระทำโดยรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐสมัยใหม่จะไม่ยอมให้มีการบังคับกฎหมายโดยประชาชน เพราะจะทำให้คนที่แข็งแรงกว่าใช้กำลังบังคับคนที่อ่อนแอกว่า ซึ่งจะทำให้สังคมวุ่นวาย กระบวนการบังคับให้กฎหมายที่รวมศูนย์อยู่ที่รัฐนี้กระทำ โดยผ่านองค์กรต่าง ๆ เช่น ตำรวจ อัยการ ศาล และ ราชทัณฑ์ เป็นต้น

กฎหมายกับศีลธรรมมีความแตกต่างกันดังนี้
- กฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐ แต่ศีลธรรมเป็นความรู้สึกที่เกิดจากจิตใจของมนุษย์แต่ละคน
- ข้อบังคับของกฎหมายกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นส่วนใหญ่ ส่วนศีลธรรมนั้นมิได้มีการกำหนดเป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด
- กฎหมายกำหนดความประพฤติภายนอกของมนุษย์ที่แสดงออกมาให้เห็น แต่ศีลธรรมเป็นเพียงแต่คิดในทางที่ไม่ชอบก็ผิดศีลธรรมแล้ว
- กฎหมายนั้น ผู้ฝ่าฝืนจะได้รับผลร้ายหรือถูกลงโทษ แต่ศีลธรรมนั้นขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของคนๆ นั้นโดยเฉพาะ โดยจะกระทบกระเทือนจิตใจของเขามากน้อยเพียงใดเท่านั้น 

กฎหมายกับจารีตประเพณีมีความแตกต่างกันดังนี้
- กฎหมายเป็นข้อบังคับของรัฐ แต่จารีตประเพณีเป็นข้อบังคับของชนชั้นใดชั้นหนึ่งหรืออาชีพใดอาชีพหนึ่งเท่านั้น
- การกระทำความผิดหรือฝ่าฝืนกฎหมาย ผู้กระทำจะมีความผิดและถูกลงโทษ แต่การกระทำความผิดหรือฝ่าฝืนจารีตประเพณีจะได้รับเพียงการติเตียนจากสังคมเท่านั้น
- กฎหมายเป็นข้อกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพียงบางอย่างเท่านั้น แต่จารีตประเพณีครอบคลุมการดำรงชีวิตของมนุษย์ทั้งหมด
จากความคิดเห็นของข้าพเจ้า ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรมและจารีตประเพณี มีหลายประการด้วยกัน แต่กฎหมายและจารีตประเพณีต่างก็เป็นกฎเกณฑ์ที่จัดระเบียบของสังคมเหมือนกัน มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้สังคมมีความสงบสุข  ซึ่งกฎหมายอาจมีลักษณะแตกต่างจากฎเกณฑ์อื่นอยู่บ้างตรงที่กฎหมายมีโทษที่ค่อนข้างรุนแรงและเด็ดขาดกว่า สามารถนำมาบังคับใช้ให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรมได้ดีกว่า นอกจากนั้นแล้วกฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่อาจสามารถเกิดขึ้นเองได้เหมือนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า แต่กฎหมายมีจุดกำเนิดหรือที่มาของกฎหมายจากศีลธรรม ศาสนา และจารีตประเพณี ในเรื่องของศีลธรรมที่เรานำมาใช้เป็นที่มาของกฎหมาย เช่น การที่สามีภริยาไม่มีความซื่อสัตย์ต่อกัน โดยภริยาไปมีชู้ซึ่งเป็นเรื่องผิดศีลธรรม กฎหมายก็อาจจะบัญญัติถึงผลของการมีชู้ว่าให้สามีฟ้องหย่าจากภรรยาได้เป็นต้น

2. คำว่าศักดิ์ของกฎหมาย คืออะไร มีการจัดอย่างไร โปรดยกตัวอย่าง รัฐธรรมนูญ คำสั่งคณะปฏิวัติ คำสั่งคสช. พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา พระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ พระบรมราชโองการ กฎกระทรวง
ตอบ    เมื่อกล่าวถึง ศักดิ์ของกฎหมาย (Hierarchy of law)  หลายคนและรวมถึงตัวของดิฉันด้วยจะไม่เข้าใจว่าศักดิ์ของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร มีความสำคัญมากน้อยแค่ไหนต่อกฎหมาย โดยทั่วไปแล้วมีผู้ทรงคุณวุฒิได้ให้ความหมาย ศักดิ์ของกฎหมายไว้ว่า ลำดับชั้นของกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งคือ ลำดับความสูงต่ำของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกัน ซึ่งความไม่เท่าเทียมกันของกฎหมายแต่ละฉบับนั้น พิจารณาได้จากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย หมายความว่ากฎหมายแต่ละฉบับจะมีชั้นของกฎหมายในระดับนั้น  ให้พิจารณาจากองค์กรที่ออกกฎหมายฉบับนั้น
          การจัดศักดิ์ของกฎหมาย มีความสำคัญต่อกระบวนวิธีการต่างๆ ทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้  การตีความ  และการยกเลิกกฎหมาย เช่น  หากกฎหมายฉบับใดมีลำดับชั้นของกฎหมายสูงกว่า กฎหมายฉบับอื่นที่มีลำดับชั้นต่ำกว่า จะมีเนื้อหาของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่มีลำดับชั้นสูงกว่านั้นไม่ได้   หากพิสูจน์ได้ว่ามีความขัดหรือแย้งดังกล่าว ถือว่ากฎหมายลำดับชั้นต่ำกว่าจะถูกยกเลิกไป
          การจัดการกำหนดศักดิ์ของกฎหมายมีเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดคือ
เกณฑ์ที่ใช้กำหนดศักดิ์ของกฎหมายพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย  กล่าวคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภา  และเป็นการใช้อำนาจในการออกกฎหมายร่วมกันของสองสภา  คือ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุด  ในขณะที่กฎหมายที่มีลำดับชั้นรองลงมา คือ พระราชบัญญัติ  พระราชกำหนด จะถูกพิจารณาโดยสภาผุ้แทนราษฎรก่อนแล้วจึงจะผ่านไปยังวุฒิสภา ถือเป็นการแยกกันในการใช้อำนาจออกกฎหมาย (Ordinary laws are voted by the two Chambers deliberating separately)
                             เมื่อกฎหมายแต่ละฉบับถูกบัญญัติโดยองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมายแตกต่างกัน ผลก็คือ ทำให้กฎหมายแต่ละฉบับมีศักดิ์ของกฎหมายหรือลำดับชั้นของกฎหมายไม่เท่ากัน  โดยลำดับชั้นของกฎหมายที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ หมายถึง ค่าบังคับของกฎหมายแต่ละฉบับจะสูงต่ำแตกต่างกันไป  เช่น รัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศและเป็นกฎหมายแม่บท  กฎหมายฉบับอื่นที่มีลำดับชั้นต่ำกว่า  เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด  จะมีเนื้อหาที่ขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญไม่ได้ ทั้งนี้ เพราะไม่ว่าจะเป็น พระราชบัญญัติ  พระราชกำหนด ต่างก็เป็นกฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญ คือต้องอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญในการตราเป็นกฎหมาย  ดังนั้น จึงเม่ากับว่ากฎหมายลูกจะขัดกับกฎหมายแม่ไม่ได้  ถ้ากฎหมายลูกขัดกับรัฐธรรมนูญ กฎหมายนั้นก็มีผลเป็นอันบังคับใช้ไม่ได้
          ลำดับการจัด สามารถเรียงได้ดังนี้
§  รัฐธรรมนูญ คำสั่งคณะปฏิวัติ  คำสั่งคสช.
§  พระราชกำหนด พระราชบัญญัติ พระบรมราชโองการ
§  พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง
§  เทศบัญญัติ

การจัดแบ่งลำดับชั้นของกฎหมายไทยสามารถจัดแบ่งลำดับชั้น  ออกเป็น  7  ประเภท  ดังนี้
     1.  รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายใดขัดแย้งไม่ได้ โดยจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจอธิปไตย ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันการเมือง สิทธิเสรีภาพของประชาชน
     2.  พระราชบัญญัติ ประมวลกฎหมายเป็นกฎหมายที่รัฐสภาตราขึ้น
     3.  พระราชกำหนดเป็นกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรีตามบท บัญญัติในรัฐธรรมนูญใช้ในกรณีจำเป็นรีบด่วนหรือเรื่องที่จะรักษาความมั่นคงในทางเศรษฐกิจ ความปลอดภัยของประเทศ แต่ต้องเสนอต่อรัฐสภาโดยเร็ว
     4.  พระราชกฤษฎีกา เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี เพื่อกำหนดรายละเอียดตามพระราชบัญญัติที่กำหนดไว้
     5.  กฎกระทรวง เป็นกฎหมายที่รัฐมนตรีตราขึ้นผ่านคณะรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติหรือพระราชกำหนด
     6.  ข้อบังคับหรือข้อบัญญัติ เป็นกฎหมายขององค์กรปกครองท้องถิ่น เช่น เทศบาล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา เป็นต้น
     7.  ประกาศคำสั่งเป็นกฎหมายเฉพาะกิจ เช่น พระบรมราชโองการ ประกาศคณะปฎิวัติ คำสั่งหน่วยงานราชการ เป็นต้น

3. แชร์กันสนั่น ครูโหดทุบหลังเด็กซ้ำ เหตุอ่านหนังสือไม่ได้
ตามรายงานระบุว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ "กวดวิชา เตรียมทหาร" ได้แชร์ภาพและข้อความที่เกิดขึ้นกับเด็กชายคนหนึ่ง ภาพดังกล่าวเผยให้เห็นสภาพแผ่นหลังของเด็กที่มีรอยแดงช้ำ โดยเจ้าของภาพได้โพสต์ไว้ว่า
"วันนี้...ลูกชายวัย 6 ขวบ อยู่ชั้น ป.1 ถูกครูที่โรงเรียนตีหลังมา สภาพแย่มาก..(เหตุผลเพราะอ่านหนังสือไม่ค่อยได้) ซึ่งคนเป็นแม่อย่างเรา เห็นแล้วรับไม่ได้เลย มันเจ็บปวดมาก...มากจนไม่รู้จะพูดอย่างไรดี น้ำตาแห่งความเสียใจมันไหลไม่หยุด ถ้าเลือกได้ก็อยากจะเจ็บแทนลูกซะเอง พาลูกไปหาหมอ หมอบอกว่า แผลที่ร่างกายเด็กรักษาหายได้ แต่แผลที่จิตใจเด็กที่ถูกทำร้าย โดนครูทำแบบนี้ มันยากที่จะหาย บาดแผลนี้มันจะติดที่..หัวใจ..ของน้องตลอดไป" จากข้อความดังกล่าวในฐานะนักศึกษาเรียนวิชากฎหมายการศึกษาคิดอย่างไรที่จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งทุกคนจะต้องไปเป็นครูในอนาคตอันใกล้นี้  ให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นปรากฏการดังกล่าวนี้
ตอบ    จาการที่ข้าพเจ้าได้อ่านข่าว ครูโหดทุบหลังเด็กซ้ำ เหตุอ่านหนังสือไม่ได้ ข้าพเจ้ารู้สึกหดหู่และกังวลใจมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าทำไมเหตุการณ์ร้ายแรงเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นในโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ที่พัฒนาคนให้เป็นคนดีและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม และเป็นแหล่งที่ป้อนความรู้ ไม่ว่านักเรียนจะเป็นผู้ที่มีพื้นฐานความรู้เดิมหรือไม่ หรือจะเป็นบุคคลที่ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเรียน การใช้ชีวิตประจำเลย  ครูเป็นบุคคลเดียวเท่านั้นที่จะมอบความรู้ และชีวิตใหม่ที่สามารถมีจุดยืน มีอาชีพที่ดี การเงิน และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข แต่ ณ วันนี้ กลับตรงกันข้าม ซึ่งบุคคลที่ทำร้ายนักเรียน นั่นคือ ครู คือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่แบบของชาติ เป็นผู้ที่สร้างสรรค์บุคคลให้เป็นคนดีในสังคม แต่ขณะนี้ทำไมคนที่ได้ชื่อว่าครูถึงลืมภาระหน้าที่ของตนเอง ถอดทิ้งจรรยาบรรณและจิตวิญญาณความเป็นครูออกไปหมด ปล่อยให้สิ่งที่เลวร้ายมาครอบงำ ให้คิด ให้ทำ ในสิ่งที่คนเป็นครูไม่สามารถจะทำได้ ดิฉันเชื่อว่าทุกคนก็ต้องคิดเช่นเดียวกับดิฉันว่าทุกๆอาชีพในโลกนี้ ไม่มีอาชีพใดที่สมควรเอาแบบอย่าง และเชิดชูในความดี และการสร้างคนให้เป็นคนดีเหมือนอาชีพครู ซึ่งปัญหาการอ่านหนังสือไม่ออกดังกล่าวที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาปกติ ที่จะต้องเกิดขึ้นกับทุกห้องเรียนและทุกโรงเรียน เพราะนักเรียนไปโรงเรียนเพื่อไปรับความรู้จากครูบาอาจารย์ โดยที่ครูบาอาจารย์เหล่านั้นจะต้องทำหน้าที่มอบ และถ่ายทอดความรู้รวมทั้งแนวทางการดำเนินชีวิตประจำวัน การปฏิบัติตนเป็นคนดีให้แก่นักเรียน และอีกประการที่สำคัญที่ครูควรคำนึงถึงอยู่เสมอคือ นักเรียนทุกคนมีพัฒนาการและความถนัด ความบกพร่องที่แตกต่างกันไป ดังนั้น อันดับแรก คือ ครูจะต้องควบคุมอารมณ์ของตนเองให้ได้ ต้องคำนึงถึงความสำเร็จของนักเรียนมาเป็นอันดับแรก ครูควรปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณวิชาชีพครูให้สมบูรณ์ และเป็นผู้ให้และสอนจากใจจริง จากจิตวิญญาณของความเป็นครูอย่างแท้จริง ไม่ใช่สอนเพียงเพราะหน้าที่เพียงเท่านั้น และที่สำคัญ เป็นประเด็นที่สำคัญที่ครูยุคใหม่ควรคำนึงถึง และปรับเปลี่ยนบางอย่างให้เข้ากับการศึกษาในสังคมปัจจุบัน นั่นคือ การเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางในการสอน ดังนั้น ครูควรปรับวิธีเรียนเปลี่ยนวิธีสอนให้สอดคล้องกับศักยภาพของนักเรียนในชั้นเรียน ค่อยๆเริ่มพัฒนาไปตามกระบวนการ และจากการวิเคราะห์ข่าวดังกล่าวนี้ ทำให้ทราบว่าครูท่านนี้ได้ประพฤติผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงตามข้อปฏิบัติทางวินัยจึงต้องได้รับโทษทางวินัยที่ระบุไว้ในมาตรา 96 ซึ่งต้องโทษลาออก
ข้าพเจ้าก็เป็นนักศึกษาครูคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันอยากจะเป็นครูในอนาคต ข้าพเจ้าคิดว่าครูที่ดีจะต้องให้ทุกอย่างแก่ศิษย์ ทั้งให้ความรู้  ให้โอกาสครูต้องให้โอกาสศิษย์เสมอในการศึกษาเล่าเรียน เพราะการศึกษาเล่าเรียนไม่มีคำว่าสาย รวมทั้งให้โอกาสในการประพฤติผิดในด้านอื่นๆด้วย ให้ความคิด นอกจากความรู้ที่ครูจะต้องถ่ายทอดให้แก่ศิษย์โดยไม่ปิดบังแล้ว ครูจะต้องให้ความคิดแก่ศิษย์ด้วย คือให้ศิษย์คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น ให้ชีวิต ครูเป็นผู้ให้ชีวิต ในที่นี้หมายถึง ให้จิตวิญญาณ และอุดมการณ์ นักเรียนประสบความสำเร็จอันเนื่องมาจากมีครูที่ให้อุดมการณ์ ให้กำลังใจ ครูต้องเป็นผู้ให้กำลังใจศิษย์ โดยเฉพาะเมื่อศิษย์เกิดความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ หรือหมดหวัง การให้กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญที่ครูไม่ควรมองข้าม ศิษย์หลายคนที่เคยท้อแท้ในชีวิต แต่เมื่อได้กำลังใจจากครูก็กลับฮึดสู้จนประสบความสำเร็จได้ ให้อภัย ครูต้องให้อภัยศิษย์เสมอ

4. ให้นักศึกษา สวอท.ตัวนักศึกษาว่าเราเป็นอย่างไร
ตอบ    วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรคของตัวดิฉัน
จุดแข็ง (S)
1. ความมีระเบียบ เรียบร้อยในการทำงานที่อาจารย์มอบหมาย
2. รักในความเป็นศิลปะ จะชอบสร้างสรรค์งานแบบใหม่ๆ อย่างเช่น ชิ้นงานที่อาจารย์สั่ง ดิฉันจะชอบออกแบบ ให้มีสีสันและรูปแบบที่หลากหลาย
3. รับผิดชอบงานที่อาจารย์มอบหมาย และส่งงานที่อาจารย์มอบหมายตามเวลาที่อาจารย์กำหนดทุกชิ้น
4. มีความพร้อมในการเตรียมเอกสาร เนื้อหาก่อนมาเรียน
5. ในขณะที่ทำงานที่อาจารย์เปิดโอกาสให้พูดคุยกับเพื่อนๆในห้องเรียนได้ ดิฉันจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในห้องเรียน ซึ่งจะทำให้มีมุมมองใหม่ๆ
6. มีการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในการทำกิจกรรมในห้องเรียน
7. เวลาอาจารย์สอน ดิฉันจะคิดตามสิ่งที่อาจารย์พูด
จุดอ่อน (w)
1. การทำงานล่าช้า
2. เป็นคนมองโลกในแง่ลบเป็นส่วนใหญ่
3. ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ลังเลใจ
4. สะเพร่า
5. เรียนหรืออ่านอะไรไปแล้วถ้าไม่ทบทวนจะลืม
6. ไม่อ่านหนังสืออย่างสม่ำเสมอ
โอกาส (o)
1. สามารถนำทฤษฎีและหลักการต่างๆที่เรียนมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้
2. อาจารย์อธิบายเนื้อหาได้ชัดเจนและเน้นย้ำสิ่งที่สำคัญเสมอ รวมทั้งมีความชัดเจนในการมอบหมายภาระงานให้นักศึกษา
3. มีประสบการณ์การทำงานร่วมกับผู้อื่นในกลุ่ม
4. สามารถถามอาจารย์ในสิ่งที่ไม่เข้าและอาจารย์จะตอบคำถามให้อีกครั้งอย่างชัดเจน
5. ได้เรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ และสามารถเปรียบเทียบกับความรู้เดิม ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรได้
อุปสรรค (T)
1. ในรายวิชาภาษาอังกฤษดิฉันจะจำความหมายคำศัพท์เฉพาะบางตัวไม่ได้ ส่วนในรายวิชาที่เป็นทฤษฎีหรือแนวคิดต่างๆ ดิฉันจะจำสลับกันบ่อยมาก เพราะมีมากมายหลายทฤษฎี
2. มีกิจกรรมระหว่างเรียนบ่อยมาก ทำให้เนื้อหาที่เรียนไม่ต่อเนื่องกันทำให้บางครั้งลืมเนื้อหาที่เรียน
3. ไม่เข้าใจในวิธีการนำทฤษฎีบางตัวไปใช้ คือ ยังไม่เข้าใจในจุดประสงค์หลักของทฤษฎีนั่นอย่างชัดเจน
4. ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจบทเรียนเป็นเวลานาน ทำให้ไม่ทันเพื่อน เพราะการเรียนในบางวิชาดิฉันอาจจะเข้าใจช้ากว่าผู้อื่น หรือ อาจจะขาดเรียนไปในรายวิชานั้น

5. ให้นักศึกษาวิจารณ์อาจารย์ผู้สอนวิชานี้ในประเด็นการสอนเป็นอย่างไร บอกเหตุผล มีข้อดีและข้อเสีย
ตอบ    สำหรับการเรียนวิชากฎหมายและการประกันคุณภาพการศึกษา อาจารย์ผู้สอนรายวิชานี้ คือ ดร.อภิชาติ วัชรพันธุ์ ท่านมีวิธีการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดอย่างหลากหลาย ให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดอย่างอิสระ ซึ่งข้อดีของอาจารย์ผู้สอนคือ
          1. อาจารย์มีความตั้งใจในการสอน สอนเนื้อหาอย่างเข้าใจทุกเรื่อง ให้ความรู้อย่างเต็มที่ ไม่หวงความรู้
          2. อาจารย์ใช้เทคโนโลยีในการสอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีมากและสอดคล้องกับการศึกษาในปัจจุบันอย่างแท้จริง
          3. อาจารย์สั่งงานอย่างละเอียดและชัดเจน นักศึกษาทุกคนเข้าใจงานของอาจารย์ทุกชิ้น และสามารถปฏิบัติงานส่งตามเวลาที่อาจารย์กำหนดทุกครั้ง
          4. อาจารย์ให้คำแนะนำในทุกๆเรื่องอย่างดีมาก และอาจารย์ไม่เพียงแค่สอนเนื้อหาเพียงอย่างเดียว อาจารย์ยังสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และสอนให้นักศึกษาปฏิบัติตนในทางที่ดีตลอดมา
          5. อาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีมากให้กับนักศึกษาในทุกๆเรื่อง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น